Posted on

ที่มาของ “อัญมณีประจำวันเกิด”

การสวมใส่อัญมณีประจำวันเกิดเป็นประเพณีที่ได้รับการยอมรับสืบต่อกันมา แม้ว่าโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีการให้อัญมณีเป็นของขวัญในวันเกิดและวันครบรอบ แต่อัญมณีก็ยังเป็นของขวัญที่สวยงามสำหรับทุกโอกาสด้วย อัญมณีประจำวันเกิดแต่ละเม็ดมีความเป็นมาในประวัติศาสตร์ เพราะความที่อัญมณีต่างๆ นั้นมีคุณสมบัติเฉพาะตัวและมีพลังพิเศษ 

อัญมณีประจำวันเกิดสมัยใหม่มีขึ้นตั้งแต่ปี 1912 แต่แนวคิดเรื่องอัญมณีประจำวันเกิดเลยจริงๆ นั้น มีนักวิชาการได้แกะรอยต้นกำเนิดจากการกล่าวถึง “เสื้อเกราะของแอรอน (Breastplate of Aaron)” ในหนังสือ Exodus ที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิล

ภาพ จาก Temple Institute อ้างจาก www.redeemerofisrael.org

เสื้อเกราะเป็นเครื่องแต่งกายทางศาสนาที่มีอัญมณี 12 เม็ด (เรียงเป็น 3 แถว แถวละ 3 เม็ด ในลวดลายสีทอง) ซึ่งแทนเผ่าในอิสราเอล 12 เผ่า  ต่อจากนั้น มีการเชื่อมโยงระหว่างอัญมณี12 เม็ด เข้ากับสัญลักษณ์ 12 ราศีในงานเขียนของฟลาวิอุส โจเซฟุส (Flavius Josephus) ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 และนักบุญเจอโรม (St. Jerome) ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 จากนั้นจึงเกิดความคิดที่ว่าคนเราต้องสะสมอัญมณี 12 ชนิดตามสัญลักษณ์จักรราศีและสวมอัญมณีที่เหมาะสมในช่วงที่ราศีนั้นๆ มีอำนาจ เป็นความคิดที่คล้ายกับประเพณีทางโหราศาสตร์เวทของอินเดียที่เราควรเลือกสวมใส่อัญมณีตามสภาวะของสุขภาพและความท้าทายที่พวกเขากำลังเผชิญในชีวิต

บทบาทของอัญมณีที่ใช้สวมใส่เพื่อให้พลังแห่งการรักษาตามจักรราศีนั้นได้เปลี่ยนไปเป็นอัญมณีประจำวันเกิดในช่วงศตวรรษที่ 18 โดยเริ่มขึ้นที่โปแลนด์ ได้มีนักวิชาการสมัยใหม่มักสวมอัญมณีที่ตรงกับเดือนเกิดของพวกเขา และในสมัยนั้นก็ได้มีพ่อค้าอัญมณีชาวยิวปรากฎตัวขึ้น ณ ภูมิภาคแห่งนั้นด้วย

ต่อมาในปี 1912 สมาคมอัญมณีแห่งชาติ (Jewelers of America) ได้กำหนดรายชื่ออัญมณีประจำวันเกิดสมัยใหม่ และมีการแบ่งรายการอัญมณีในแต่ละเดือนให้เป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มโบราณ (ancient) กลุ่มดั้งเดิม (traditional)  และกลุ่มสมัยใหม่ (modern)

อัญมณีที่อยู่ในกลุ่ม “โบราณ” ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและใช้กันมานานนับพันปี ในขณะที่อัญมณีในกลุ่ม “ดั้งเดิม” ได้มีการใช้งานในช่วง 500 ปีที่ผ่านมา ส่วนอัญมณีประจำวันเกิดกลุ่ม “สมัยใหม่”  คืออัญมณีที่มีการจำหน่ายอย่างแพร่หลายในช่วง 100 ปีที่ผ่านมานี่เอง สิ่งที่น่าสนใจคือมีอัญมณีหลายชนิดที่ทับซ้อนกันระหว่างกลุ่ม “โบราณ” และกลุ่ม “สมัยใหม่” เนื่องจากปัจจุบันมีอัญมณีมากมายให้เลือกใช้ 

แม้ว่าอัญมณีประจำวันเกิดจะไม่ได้มีความสำคัญในทางความเชื่อด้านศาสนาตามที่เคยมีปรากฎในประวัติศาสตร์ แต่มีผู้เชี่ยวชาญบางคนอ้างว่าอัญมณีมีประโยชน์ในการบำบัดด้านพลังงาน อย่างในโอปอล ซึ่งเป็นอัญมณีประจำเดือนตุลาคม มีความเชื่อว่ามีอำนาจในการล่องหนและปกป้องจากการแตกสลายทางวิญญาณ นอกจากพลังพิเศษแล้ว ยังพบว่าอัญมณียังให้โชคลางด้วย เช่น สร้อยข้อมือที่มีอัญมณีประจำวันเกิดจะนำโชคมาให้แก่ผู้สวมใส่ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่สวมใส่ และถ้าสวมใส่ที่ข้อมือซ้ายก็จะช่วยเปิดรับการรับรู้สื่อสารที่ตรงไปตรงมา หากสวมที่ข้อมือขวา อัญมณีจะนำความมั่นใจมาให้ผู้สวมใส่ แต่ไม่ว่าคุณจะเชื่อในเรื่องโชคลางหรือไม่ การสวมใส่อัญมณีประจำวันเกิดก็จะช่วยส่งเสริมบุคลิกและความเป็นตัวตนของคุณให้ดูโดดเด่นขึ้นมาได้ไม่น้อย

ในปี 2002 ได้มีการประกาศโดย American Gem Trade ให้มีการเพิ่มแทนซาไนท์ เป็นอัญมณีประจำวันเกิดในเดือนธันวาคมด้วย เพราะ Jewelers of America เห็นว่าการเพิ่มอัญมณีเพิ่มเติมจะช่วยให้ผู้ค้าปลีกขายเครื่องประดับได้มากขึ้น ทั้งในปี 2006 แคมเปญการตลาดได้ส่งเสริมให้แทนซาไนท์เป็นอัญมณีประจำวันเกิดสำหรับเด็กทุกคนอีกด้วย โดยมีสโลแกนว่า “Be Born to Tanzanite”

เห็นได้ชัดว่าโลกของเรามาไกลจากพลังมหัศจรรย์ของอัญมณีทางโหราศาสตร์ ทุกวันนี้ คุณแม่ๆ ก็จะมีแหวนพร้อมกับอัญมณีประจำวันเกิดของลูกแต่ละคน หรือมีเป็นสร้อยข้อมือชาร์มที่มีอัญมณีประจำตระกูลด้วย เพื่อแสดงถึงความรักที่มีต่อครอบครัว

ภาพ จาก www.amazon.com

ด้านล่างนี้เป็นรายการอัญมณีประจำวันเกิดของแต่ละเดือน จัดทำโดย American Gem Society และ The Burke Museum 

มกราคม: โกเมน (Garnet)
หมายถึง ความหลงใหล มิตรภาพ สุขภาพ ความรัก ความรู้สึกและอารมณ์ที่แข็งแกร่ง

กุมภาพันธ์: อเมทิสต์ (Amethyst) 
หมายถึง ความมั่นคง ความจริงใจ จิตวิญญาณ และความสุขที่แท้จริง

มีนาคม: อะความารีน (Aquamarine) 
หมายถึง สุขภาพ ความซื่อสัตย์ ความภักดี ความหวัง และความเยาว์วัย

เมษายน: เพชร (Diamond) 
หมายถึง ความรัก ความบริสุทธิ์ ความใจกว้าง และความสามัคคี

พฤษภาคม: มรกต (Emerald) 
หมายถึง ความเยาว์วัย การเกิดใหม่ ภูมิปัญญา ความสำเร็จในความรักและโชคลาภ

มิถุนายน: ไข่มุก (Pearl) อเล็กซานไดรต์ (Alexandrite) และมูนสโตน (Moonstone)
หมายถึง ความสำเร็จ ความสุข และความรัก

กรกฎาคม: ทับทิม (Ruby)
หมายถึง ปัญญา สุขภาพ และความรัก

สิงหาคม: เพอริดอท (Peridot) ซาร์โดนิกซ์ (Sardonyx) และสปิเนล (Spinel)
หมายถึง ความโชคดี

กันยายน: แซปไฟร์ (Sapphire)
หมายถึง ความสงบ

ตุลาคม: ทัวร์มาลีนสีชมพู (Pink Tourmaline) และโอปอล (Opal)
หมายถึง ความโชคดี 

พฤศจิกายน: ซิทริน (Citrine) และโทแพซ (Topaz)
หมายถึง ปัญญา มิตรภาพ และความยืนยาว

ธันวาคม: แทนซาไนต์ (Tanzanite) เทอควอยซ์ (Turquoise) และเพทาย (Zicorn)
หมายถึง ความซื่อสัตย์ ความรัก และความมั่นใจ

ภาพ จาก www.jewelry-secrets.com

อัญมณีประจำวันเกิดแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะตน ทั้งในด้านประวัติความเป็นมาและคุณสมบัติของมัน จึงเป็นที่นิยมในการให้เป็นของขวัญเพราะคุ้มค่าแก่การมอบให้ เหมาะที่จะมอบให้คนพิเศษในโอกาสพิเศษ เพื่อสร้างความจดจำที่ดีและตราตรึงตลอดไป 

อ้างอิงเนื้อหา
https://wpsheltonjewelers.com/blogs/news/the-history-of-birthstones
https://www.markschneiderdesign.com/blogs/jewelry-blog/the-origin-of-birthstones
https://www.capetowndiamondmuseum.org/blog/2017/03/what-does-your-birthstone-say-about-you/

Posted on

ต่างหูแบรนด์ Schiaparelli จากงานติดคริสตัลสีแดงบนตัว 30,000 เม็ด ของโดจา แคท (Doja Cat)

เมื่อไม่นานมานี้ เชื่อว่าหลายๆ คนคงขนลุกไปกับการออกงาน Paris Haute Couture Week 2023 ของศิลปินสาวแร็ปเปอร์สุดฮอทโดจา แคท ได้ปรากฎตัวในงาน ด้วยชุดราตรีพร้อมเรือนร่างของเธอที่ประดับด้วยคริสตัล Swarovski สีแดงเลือดนกจำนวน 30,000 เม็ด และยังต้องใช้สีแดงทาตัวเธอเพื่อติดคริสตัลครั้งนี้ด้วย

ต่างหูแบรนด์ Schiaparelli ที่ออกแบบโดยนักออกแบบเครื่องประดับ Loree Rodkin

Haute Couture อ่านว่า โอตกูตูร์ เป็นภาษาฝรั่งเศส หมายถึง การตัดเย็บชั้นสูง แฟชั่นชั้นสูง เป็นการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายให้เข้ากับผู้สวมใส่โดยเฉพาะ โอตกูตูร์เป็นแฟชั่นหรูหราที่ทำขึ้นด้วยมือตั้งแต่เริ่มจนจบ ทำอย่างมีคุณภาพสูง แพง และบางครั้งใช้ใยผ้าที่ไม่ธรรมดาและการเย็บอย่างบรรจงในรายละเอียด และจบงานด้วยช่างเย็บผู้มากประสบการณ์และมีฝีมือซึ่งมักใช้เทคนิคที่ทำด้วยมือและใช้เวลานานอย่างมาก

งาน Haute Couture Week ก็คืองานจัดแสดงคอลเลกชั่นใหม่ล่าสุดจากแบรนด์ที่เชี่ยวชาญด้านโอต์กูตูร์ ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะเสื้อผ้าที่ดีที่สุดในโลก ที่ตัดเย็บด้วยงานฝีมืออันประณีต โดยงานที่ผ่านมามีตั้งแต่วันที่ 23 ม.ค.-ม.ค. และจะมีแฟชั่นโชว์จัดขึ้นทั่วกรุงปารีสในวันที่ 26 มีนาคม สำหรับฤดูใบไม้ผลิปี 2023 ฤดูกาลนี้จะรวมคอลเลกชันงานออกแบบจากแบรนด์สเกียอาปาเรลลี (Schiaparelli) ดิออร์ (Dior) ชาเนล (Chanel) วาเล็นติโน (Valentino) และเฟนดิ (Fendi)

Schiaparelli (อ่านว่า สเกียอาปาเรลลี) ก็เป็นแบรนด์เสื้อผ้าจากประเทศอิตาลีที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบ 100 ปี ก่อตั้งโดย “เอลซ่า สเกียปาเรลลี” สาวสังคมอิตาลีคนโก้ตั้งแต่เมื่อปี 2470 เธอเป็นดีไซเนอร์ในยุคเดียวกับ โคโค่ ชาเนล เอลซ่ามีสไตล์การออกแบบที่โดดเด่นล้ำสมัย ถือเป็นหัวก้าวหน้าในยุคนั้น เธอได้ร่วมงานกับศิลปินชื่อดังในยุค และออกแบบชุดแหวกแนวศิลปะเหนือจริง สไตล์เซอร์เรียล ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋ารูปทรงโทรศัพท์ บราเกาะอกรูปมือ ชุดโครงกระดูก สร้อยคอรูปเส้นเลือด ปอด ฯลฯ

ความเซอร์เรียลเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ ทำให้ผลงานเสื้อผ้าแทบทุกชุดไม่เป็นเพียงแค่แฟชั่น แต่ยังประหนึ่งงานศิลปะบนเรือนร่างมนุษย์ แต่ละชุดของแบรนด์จึงสร้างความฮือฮาได้เสมอ และมักจะถูกคนดังทั้งหลาย เลือกสวมใส่เวลาออกงานสำคัญๆ ขึ้นเวที เดินพรมแดง งานประกาศรางวัลอยู่เสมอ

หน้าเว็บไซต์ของแบรนด์ Schiaparelli นำเสนอต่างหูอื่นๆ ที่ได้รับการออกแบบแนวโอต์กูตูร์ที่ไม่ธรรมดา

การออกแบบการแต่งกายของ Doja Cat เป็นผลงานของแบรนด์ Schiaparelli โดยมี Brett Alan Nelson เป็นสไตลิสต์ และ Pat McGrath เป็นช่างแต่งหน้าระดับตำนานที่รับผิดชอบรูปลักษณ์อันสร้างสรรค์อย่างดุเดือดนี้ (เป็นผู้ติดคริสตัลบนตัว Doja Cat) โดยงานนี้ Schiaparelli ได้รับแรงบันดาลใจการออกแบบชุดจากบทกวีมหากาพย์แห่งศตวรรษที่ 14 ที่ชื่อว่า “Inferno” งานเขียนของ Dante ในช่วงแรก  

Instagram ของแบรนด์ Shiaparelli แชร์ภาพของโดจา แคท และ Brett Alan Nelson สไตลิสต์


บน Instagram ของ McGrath แชร์ว่าพวกเขาใช้เวลาประมาณห้าชั่วโมงในการสร้างผลงานชิ้นเอกที่มีมนต์ขลังและน่าหลงใหลงานนี้ โดยเขียนว่า “ความอดทนและความมุ่งมั่นของ Doja … เป็นแรงบันดาลใจอย่างแท้จริง”

อย่างไรแล้ว งานนี้ Doja Cat สวมรองเท้าบู๊ตหนังแท้ และชุดต่างหูคริสตัลสีแดงขนาดใหญ่จากแบรนด์ Schiaparelli โดยต่างหูออกแบบโดยนักออกแบบเครื่องประดับ Loree Rodkin


อ้างอิงเนื้อหา:
https://dnyuz.com/2023/01/23/doja-cats-schiaparelli-red-look-took-five-hours-to-create/
https://pagesix.com/2023/01/23/doja-cat-gets-covered-in-crystals-at-schiaparelli-fashion-show/
http://celebonline.in.th/fashionandbeauty/fashion/320442/
https://footwearnews.com/2023/fashion/womens/doja-cat-red-crystals-boots-schiaparelli-haute-couture-show-1203397370/
https://th.wikipedia.org/wiki/โอตกูตูร์
https://www.schiaparelli.com/eshop/en/e-shop/jewelry/earrings/c/000050?
https://www.instagram.com/p/CnwimOmp3h9/

Posted on

สเปสซาร์ไทต์ (Spessartite) อัญมณีประจำเดือนมกราคม

ภาพ Spessartite จาก pricescope.com

ชื่อของพลอยสเปสซาร์ไทต์ นั้นจะสะกดเป็น Spessartite หรือ Spessartine ก็ได้ จะอ่านได้ว่า สเปสซาร์ไทต์ หรือ สเปสซาร์ทีน
แต่คำว่า สเปสซาร์ไทต์ มาจากชื่อ “สเปสซาร์ต” (Spessart)  ซึ่งอยู่ในแคว้นบาวาเรียตะวันตกเฉียงเหนือในเยอรมนี
สเปสซาร์ไทต์ เรียกอีกอย่างว่า สเปสซาร์ไทต์การ์เนต (Spessartite Garnet) หรือกล่าวได้ว่าสเปสซาร์ไทต์คือพลอยโกเมนหรือการ์เน็ต (Garnet) อีกชนิดหนึ่งนั้นเอง แต่เป็นการ์เน็ตที่มีสีส้มไปจนถึงส้มออกแดง หรือเรียกอีกอย่างว่า เป็นการ์เน็ตสีรูตเบียร์

สีส้มของสเปสซาร์ไทต์เกิดขึ้นออกมาตามธรรมชาติ โดยสีส้มนี้มาจากแร่แมงกานีส และแร่เหล็กที่เจือปนนั้นทำให้มีสีออกแดงหรือน้ำตาล แต่เพราะว่าสเปสซาร์ไทต์ดูดกลืนรังสีบางชนิดได้ จึงมักทำให้มีสีออกส้มปนอยู่เสมอ ตามพื้นฐานโครงสร้างแร่

สเปสซาร์ไทต์เป็นการ์เน็ตที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักตัวหนึ่ง เพราะไม่มีคุณสมบัติเหนือกว่าการ์เน็ตชนิดอื่น
แต่สเปสซาร์ไทต์ไม่เหมือนกับพลอยชนิดอื่นๆ ตรงที่สเปสซาร์ไทต์มักไม่ได้รับการปรับปรุงคุณภาพพลอยด้วยวิธีการใดๆ เลย

พลอยสเปสซาร์ไทต์ก้อนดิบ เป็นก้อนสีส้ม คล้ายเนื้อส้ม ภาพ จาก sereneage.com

สีของสเปสซาร์ไทต์

สเปสซาร์ไทต์มีตั้งแต่สีส้มอมเหลือง ไปจนถึง สีส้มอมน้ำตาล หรือสีแดงอมส้ม โดยสีที่มีค่าที่สุดคือสีส้มปนสีแดง

สีของสเปสซาร์ไทต์เป็นแบบไอโอโครมาติก (ideochromatic) หมายความว่า มีสีเกิดขึ้นโดยองค์ประกอบพื้นฐาน ซึ่งองค์ประกอบนั้นคือแมงกานีสที่ทำให้เกิดสีส้ม หากนำแมงกานีสออกไปพลอยก็จะไม่เป็นสเปสซาร์ไทต์อีกต่อไป ดังนั้นสเปสซาร์ไทต์จึงมีสีพื้นฐานเพียงสีเดียวคือสีส้ม แต่สีส้มนี้อาจถูกดัดแปลงเล็กน้อยโดยการผสมกับเหล็กในรูปของอัลมันดีน (Almandine) ทำให้ได้สีแดงที่เข้มขึ้น

การส่องแสงสว่างของสเปสซาร์ไทต์

เนื่องจากสเปสซาร์ไทต์มีสีส้มถึงแดงส้ม จึงดูดีที่สุดภายใต้แสงจากหลอดไส้ เมื่อซื้ออัญมณีใดๆ ก็ตาม การขอตรวจสอบพลอยภายใต้แหล่งกำเนิดแสงที่หลากหลายก็นับว่าเป็นสิ่งที่ควรทำเสมอ เพราะถ้าหากซื้อไปแล้วคุณไม่ชอบก็จะไม่คุ้มค่า

ความสะอาดของสเปสซาร์ไทต์

สเปสซาร์ไทต์ตามแหล่งซื้อขายพลอยส่วนใหญ่มีความสะอาดพอสมควร ดังนั้นแล้วมันมีความเป็นไปได้สูงที่คุณจะได้ครอบครองพลอยที่สะอาดตาตามที่คุณต้องการ แต่มีข้อยกเว้นอยู่คือสเปสซาร์ไทต์สีส้มแมนดารินจากนามิเบีย ซึ่งมักมีเส้นใยไทโรไดต์ (tirodite) ขนาดเล็กที่ไม่มีสี ทำให้พลอยมีลักษณะไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ หากมีเส้นใยนี้ปริมาณเพียงเล็กน้อยแล้วผลที่ได้คือจะได้สเปสซาร์ไทต์ที่ค่อนข้างดูสวยงามเลยทีเดียว เพราะมันจะช่วยบดบังจุดบกพร่อง และปล่อยให้สีส้มแทนเจอรีนเปล่งประกายทั่วทั้งหน้าของพลอยได้อย่างสวยงาม

การเจียระไนสเปสซาร์ไทต์

โดยทั่วไปพลอยสเปสซาร์ไทต์จะได้รับการเจียระไนคล้ายกับพลอยชนิดอื่นๆ โดยมีการเจียระไนเป็นรูปร่างมาตรฐานได้อย่างทรงไข่ ทรงหมอน สามเหลี่ยม ทรงมรกต หรือรูปร่างอื่นๆ ได้ โดยไม่มีปัญหาเรื่องการวางแนวตอนเจียระไน เพราะไม่มีสีอื่นผสม จึงทำให้ออกแบบวางแผนเจียระไนได้ง่าย

โดยทั่วไปแล้ว หากพลอยหยาบมีรูปร่างที่เท่ากันก็จะทำให้ได้การเจียระไนที่ดี สเปสซาร์ไทต์ที่เจียระไนหลังเบี้ยนั้นก็มีให้เห็นบ้างในบางโอกาส แต่มักจะพบเป็นสเปสซาร์ไทต์สีส้มแมนดารินจากนามิเบีย

ราคาสเปสซาร์ไทต์
หนึ่งในแหล่งที่ขึ้นชื่อเป็นพิเศษสำหรับสเปสซาร์ไทต์คุณภาพสูงคือเหมือง Little Three ในแคลิฟอร์เนีย

โดยทั่วไปแล้วสเปสซาร์ไทต์ที่ขุดได้ในนามิเบียจะเรียกว่า แมนดารินการ์เน็ต และจำหน่ายในราคาสูง

แทนซาเนียยังเป็นผู้ผลิต Spessartine คุณภาพสูงรายใหญ่อีกด้วย

ราคาขายปลีกของสเปสซาร์ไทต์เกรดสูงสุดอาจสูงถึง 2,500$ ต่อกะรัต แต่อย่างไรแล้ว คุณก็ยังสามารถหาสเปสซาร์ไทต์ระหว่าง 100$ -1,000$ กะรัตได้

ราคาของสเปสซาร์ไทต์นั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพเช่นเดียวกับอัญมณีทั่วไป แต่พบว่าสเปสซาร์ไทต์ของไนจีเรียมักขายปลีกในราคา 100$ –250$ ต่อกะรัต ในขนาดเล็ก 1–4 กะรัต ขณะที่ขนาด 15–20 กะรัต ราคาอาจสูงถึง 900$ ต่อกะรัต
ราคาของสเปสซาร์ไทต์สีส้มแมนดารินที่หายากจากนามิเบียจะยิ่งมีค่าสูงขึ้น โดยพลอยขนาดเล็ก 1-2 กะรัต มีราคาสูงถึง 800$ ต่อกะรัต และถ้าหากขนาดมากกว่า 5 กะรัต ราคาอาจขยายตัวสูงกว่า 1,000$ ต่อกะรัต

ขนาดพลอยสเปสซาร์ไทต์

ในขณะที่สเปสซาร์ไทต์ขนาด 100 กะรัตขึ้นไปนั้นมักเป็นที่รู้กันว่ามาจากทั้งบราซิลและมาดากัสการ์ แต่จริงๆ แล้วสเปสซาร์ไทต์ขนาด 15–20 กะรัต นั้นก็หายากแล้ว โกเมนสเปสซาร์ไทต์สีส้มจากนามิเบียที่มีเนื้อพลอยดีๆ ขนาดมากกว่า 5 กะรัต ก็หายากด้วยเช่นกัน

แหล่งที่มาของสเปสซาร์ไทต์ ได้แก่ อัฟกานิสถาน บราซิล แคลิฟอร์เนีย มาดากัสการ์ โมซัมบิก เมียนมาร์ นามิเบีย ไนจีเรีย ปากีสถาน ศรีลังกา และแทนซาเนีย

สเปสซาร์ไทต์เกิดขึ้นแบ่งได้ตามแหล่งกำเนิดจากสี โดยแบ่งเป็น 3 แบบหลักๆ ได้แก่ แบบที่สีส้มสว่างสดใสซึ่งมาจากไนจีเรีย (Nigeria, Ramona, CA) แบบสีส้มแดงเข้มที่มาจากไนจีเรียอีกเช่นกัน และแบบสีส้มแมนดารินจากนามิเบีย (Namibia)

การเลียนแบบสเปสซาร์ไทต์

สเปสซาร์ไทต์ไม่เคยถูกสังเคราะห์ขึ้น แต่พบว่ามีการทำลอกเลียนแบบอยู่จำนวนมาก มีการใช้พลอยแท้ธรรมชาติที่ใช้แทนสเปสซาร์ไทต์ ได้แก่ เช่น เฮสโซไนท์ โกเมน (Hessonite garnet) และของเลียนแบบที่มนุษย์สร้างขึ้นมาก็จะเป็นพวกแก้ว

การดูแลรักษาสเปสซาร์ไทต์ คือ ทำความสะอาดด้วยผ้าชื้นๆ อุ่นๆ หลีกเลี่ยงความร้อนหรือกรด

ความเชื่อเกี่ยวกับสเปสซาร์ไทต์
ผู้ที่สวมใส่สเปสซาร์ไทต์จะมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ยังใช้เพื่อกระตุ้นกระบวนการวิเคราะห์ของจิตใจได้อีกด้วย
ทางด้านสุขภาพ สเปสซาร์ไทต์ ใช้ในการรักษาอาการแพ้แล็กโตส รักษาโรคที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญแคลเซียม

ราศีประจำสเปสซาร์ไทต์ ได้แก่ สิงห์ พิจิก ธนู

อ้างอิงเนื้อหา:
http://www.palagems.com/spessartite-buying-guide
https://www.starlanka.com/gemstones/spessartite/

Posted on

สิ่งที่กำหนดราคาพลอยมีอะไรบ้าง

พลอยนั้นมีมากมายหลายชนิดและมีราคาแตกต่างกัน แต่สิ่งที่ทำให้พลอยมีราคาแตกต่างกันจะสูงหรือต่ำนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับชนิดของพลอย สีของพลอย หรือ ขนาดของพลอยเพียงเท่านั้น ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อีก

ปัจจัยที่มีผลต่อราคาของพลอย ได้แก่ สี (Color) ความสะอาด (Clarity) ความโปร่งแสง (Transparency) รูปร่าง (Shape) รูปแบบการเจียระไน (Cutting Style) คุณภาพการเจียระไน (Cut Quality) น้ำหนักหรือขนาดของพลอย (Carat weight) ความสว่าง (Brillance หรือ Brightness) การปรับปรุงคุณภาพพลอย (Treatment Status) แหล่งที่มาของพลอย (Place of Origin) ปริมาณสิ่งเจือปน (ได้แก่แร่ทองแดง โครเมียม และวานาเดียม)  และลักษณะเฉพาะที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ (Distinctness of Phenomena)

สี (Color)

อันที่จริงแล้ว “สี” คือปัจจัยหลักในการกำหนดราคาพลอย แต่ก็ใช่ว่าพลอยเม็ดนั้นมีคุณภาพสีดีแล้วราคาต้องสูงเสมอไป เพราะราคาของพลอยยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น เนื้อพลอย ขนาด หรือชนิดของพลอยอีกด้วย โดยทั่วไป ถ้าคุณภาพของสีนั้นยิ่งเข้ม ราคาของพลอยก็จะยิ่งสูงขึ้น เช่น มรกตสีเขียวเข้มมีราคาสูงกว่ามรกตสีเขียวอ่อนกว่าเป็นหลายเท่าตัว แม้ว่าทั้งพลอยทั้งสองชิ้นมีคุณลักษณะอื่นๆ เทียบเท่ากัน แต่ถ้าหากเป็นพลอยที่เจียระไนแล้วสีจะต้องมีความเข้มสม่ำเสมอกันทั่วทั้งตัวพลอย

ภาพจาก www.gemtochina.com

แต่ในบางกรณีนั้นขึ้นอยู่กับผู้ซื้อหรือผู้ขายเอง การกำหนดราคาก็อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพพลอย หรือ ลักษณะของสีพลอยเลยก็มี เช่น แซปไฟร์สีน้ำเงินเข้มจากพม่ากลับมีราคาถูกกว่าแซปไฟร์สีน้ำเงินอ่อนจากศรีลังกา แม้ว่าพลอยทั้งสองชิ้นมีคุณสมบัติด้านอื่นพอๆ กัน

โดยทั่วไปแล้วหากพลอยมีสีด่างออกไปทางเทา น้ำตาล หรือดำ จะทำให้ราคาพลอยมีราคาต่ำลง เพราะสีเหล่านี้ไม่เป็นที่โปรดปรานแก่ลูกค้าส่วนใหญ่ แต่แม้กระนั้นแล้วก็ยังมีพลอยสีน้ำตาลหรือสีเทาบางชิ้นกลับมีราคาสูงลิ่วได้ด้วยเช่นกัน หากได้รับการเจียระไนอย่างน่าทึ่ง และถ้ายิ่งเป็นสีที่หายาก ยิ่งทำให้พลอยมีราคาสูงขึ้นด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในโอปอล (Opal) สีแดงเป็นสีที่หายากที่สุด และมีราคาสูงที่สุด ในแอมมอโลต์ (Ammolite) สีน้ำเงินเป็นสีที่หายากที่สุด จึงมีราคาแพงที่สุด

แต่ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าคุณภาพของพลอยค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว ปัจจัยเรื่องสีพลอยจะไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อการกำหนดราคานัก ยกตัวอย่างเช่น พลอยมรกต สีอาจจะไม่ได้มีผลต่อราคานักหากพลอยมีคุณภาพต่ำ แต่ถ้าเป็นมรกตเกรดดี และถ้าเปรียบเทียบในหมู่มรกตเกรดดีด้วยกัน สีจะมีผลต่อการกำหนดราคา หากสีอ่อน เข้ม แตกต่างกัน พลอยที่เนื้อดีและสีเข้มที่สุดก็จะมีราคาสูงกว่า ในขณะที่พลอยมรกตเกรดต่ำด้วยกัน แต่พลอยสีเข้มที่สุดกลับไม่ได้มีราคาที่สูงกว่าพลอยสีอ่อนกว่าแต่อย่างใด เพราะคุณภาพพลอยเป็นเกรดต่ำ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พลอยเกรดต่ำ หรือพลอยที่มีราคาถูกก็ไม่ได้เป็นพลอยที่ไม่น่าซื้อเสมอไป เพราะยังน่าดึงดูดได้หากได้รับการเจียระไนให้สวยงาม

ความสะอาด (Clarity)

พลอยที่เกิดจากธรรมชาติย่อมมีตำหนิที่เกิดจากธรรมชาติ เช่นเดียวกับเพชร พลอยจึงได้มีการแบ่งเกรดความสะอาดของพลอยด้วย เป็นการแบ่งระดับความปราศจากสิ่งตำหนิเจือปน หรือมลทินในเนื้อพลอย โดยปกติแล้ว ตำหนิที่น้อยกว่า เล็กกว่า และสังเกตได้น้อยกว่า ราคาก็จะยิ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะในอัญมณีที่มีราคาสูง เช่น ทับทิมและมรกต

อย่างไรก็ตาม ความสะอาด หรือค่า Clarity ในพลอย มักเป็นที่ยอมรับได้มากกว่า Clarity ในเพชร และราคาของพลอยมักขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ของพลอยมากกว่าเกรดความใส

ความโปร่งแสง (Transparency)

ความโปร่งแสง คือ ความสามารถที่แสงจะผ่านเข้าไปในตัวพลอย โดยการที่แสงจะสามารถผ่านเข้าไปที่พลอยได้ในลักษณะใดก็ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติความโปร่งแสงของพลอยเม็ดนั้นๆ เอง

ความโปร่งแสงของพลอยมีตั้งแต่ระดับที่พลอยมีความใส หรือโปร่งใส มัว โปร่งแสง กึ่งโปร่งแสง ไปจนถึงทึบแสง

พลอยที่โปร่งใส แสงจะผ่านเม็ดพลอยได้ทั้งหมด หากพลอยทึบแสง แสงจะไม่ผ่านพลอยเลย แต่ถ้าหากพลอยนั้นกึ่งโปร่งแสง แสงจะผ่านพลอยได้กึ่งนึง เปรียบเสมือนการมองเห็นในลักษณะคล้ายกระจกฝ้า โดยปกติแล้วยิ่งพลอยมีความโปร่งแสงสูงเท่าใด พลอยก็จะยิ่งมีค่ามากขึ้นเท่านั้น

แต่ก็ยังพบว่าในทับทิมและแซปไฟร์ที่เป็นพลอยทึบแสง อาจมีราคาสูงกว่าทับทิมและแซปไฟร์ที่โปร่งแสงมากกว่า หรือมีพลอยชนิดอื่นๆ เช่น โอปอลสีดำซึ่งเป็นพลอยทึบแสง มักจะมีมูลค่าสูงกว่าพลอยอื่นๆ ที่มีความโปร่งแสงสูงกว่า เป็นต้น

ความโปร่งแสงนั้นมีผลกระทบต่อมูลค่าพลอยอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน มรกต ทับทิม แซปไฟร์ โอปอล หยก พลอยสตาร์ และตาแมว ตัวอย่างเช่น แซปไฟร์ที่ทึบแสงมีราคา 1,500 บาท แต่ถ้าหากว่าแซปไฟร์ชนิดเดียวกันนี้มีคุณสมบัติโปร่งแสงมากกว่า อาจขายได้ราคาเป็นแสงเลยก็ได้ ถ้าหากเป็นพลอยที่โปร่งใส

รูปร่าง (Shape)

รูปร่าง คือโครงร่างของพลอยด้านหงาย (เช่น ทรงกลม หรือ ทรงหยดน้ำ) ปกติแล้วสี (Color) ความสะอาด (Clarity) และความโปร่งแสง (Transparency) มีบทบาทในการกำหนดราคาพลอยมากกว่ารูปร่าง (Shape) ลักษณะการเจียระไน (Cutting Style) และคุณภาพการเจียระไน (Cut Quality) แต่ปัจจัยสามประการหลังนี้อาจส่งผลต่อมูลค่าของพลอยด้วยก็ได้

ภาพ จาก prestigegemsstore.com

รูปร่างจะมีต่อราคาพลอยแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผู้ขาย ความหลากหลายของพลอย น้ำหนักพลอย คุณภาพพลอย และความต้องการในตลาด

ทับทิมรูปทรงกลม (Round) 1 กะรัต คุณภาพสูง อาจมีราคาสูงกว่าทับทิมรูปไข่ (Oval) 10%-20% เนื่องจากทรงกลมมีความต้องการมากกว่า และเนื่องจากการเจียระไนทรงกลมนั้นพลอยต้องสูญเสียน้ำหนักมากกว่า

ในพลอยขนาดเล็กและคุณภาพต่ำรูปร่างพลอยอาจไม่มีผลกับราคา เรื่องของการกำหนดราคารูปร่างนั้นซับซ้อน แต่ถ้าหากว่าคุณต้องการประเมินราคาพลอย คุณจะต้องเปรียบเทียบพลอยที่ “รูปร่างแบบเดียวกัน” และมี “รูปแบบการเจียระไน” เป็นแบบเดียวกัน

รูปแบบการเจียระไน (Cutting Style)

รูปแบบการเจียระไน เป็นรูปแบบในการเจียระไนพลอย หรือเหลี่ยมพลอย โดยทั่วไปแล้วพลอยที่ได้รับการเจียระไนแบบหลังเบี้ย (Cabochon) และลูกปัดที่ไม่มีเหลี่ยมมักจะมีราคาต่ำกว่าพลอยที่ได้เจียระไนเพราะมีค่าใช้จ่ายในการเจียระไนน้อย อีกเหตุผลหนึ่งที่มักมีราคาต่ำกว่าคือมักเป็นพลอยหรือหินที่มีคุณภาพต่ำซึ่งไม่เหมาะสำหรับการเจียระไน แต่เรายังสามารถพบเพลอยหรือหินหลังเบี้ยที่มีเกรดคุณภาพสูงในเครื่องประดับโบราณด้วย

พลอยที่ได้รับการออกแบบให้มีรูปแบบเจียระไนโดยนักออกแบบ หรือพลอยที่มีแบรนด์ของมันออกมาโดยเฉพาะ มักจะขายได้มากกว่าพลอยที่เจียระไนเป็นรูปทรงทั่วไป รูปแบบการเจียระไนพลอยถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาพลอยด้วยเช่นกัน เช่น อเมทิสต์และโทแพซสีฟ้า โทแพซสีฟ้าที่ได้รับการเจียระไนอย่างดีในทรงรีแบบมาตรฐาน ราคาอาจจะอยู่ที่ $20 และอาจขายได้ในราคา $100 หากมีลักษณะการเจียระไนที่ไม่เหมือนใคร หรือทำเป็นรูปแกะสลักโดยช่างเจียระไนที่มีชื่อเสียง เป็นต้น

คุณภาพการเจียระไน (Cut Quality)

คุณภาพการเจียระไนพลอย หมายถึง สัดส่วนและการแต่งพลอย เป็นปัจจัยสำคัญเพราะส่งผลต่อความแวววาวและสีสันของพลอย แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อราคาของพลอยเสมอไป ในเรื่องของคุณภาพการเจียระไนพลอยมีข้อพิจารณาหลักๆ อยู่ 2-3 ประการ

ภาพ จาก prestigegemsstore.com

1. ตอนที่พลอยหงายขึ้น คุณเห็นสีพลอยทั่วทั้งเม็ดหรือไม่? พลอยที่เจียระไนอย่างดีต้องไม่มีพื้นที่สีดำขนาดใหญ่และต้องไม่มีหน้าต่างที่ชัดเจน (หน้าต่าง หมายถึง พื้นที่สีซีดจางตรงกลางพลอย ซึ่งทำให้คุณมองทะลุผ่านเม็ดพลอยได้) โดยทั่วไป ยิ่งพลอยมีหน้าต่างมาก ยิ่งมีการตัดที่แย่ และนอกจากการดูหน้าต่างพลอยแล้ว ยังมีเรื่องการกระจายของสีของเม็ดพลอยอีกด้วย พลอยที่กระจายสีได้ไปทั่วทั้งเม็ดพลอยบ่งชี้ถึงคุณภาพการเจียระไนที่ดี

2. หากจะซื้อพลอยสักเม็ด คุณต้องเสียเงินจ่ายส่วนที่เกินออกมาด้วยหรือไม่? สมมติว่าในด้านที่พลอยหงายหน้า มีพลอย 2 ก้อนที่มีขนาดเท่ากัน คิดราคาตามน้ำหนักกะรัต พลอยเม็ดหนึ่งได้รับการเจียระไนอย่างดี แต่พลอยอีกเม็ดหนึ่งมีก้นที่ลึกและอ้วนเกินไป และมีน้ำหนักมากกว่าสองเท่า ดังนั้นแล้วพลอยที่ลึกเกินไปจะมีราคาเป็น 2 เท่า แม้ว่าจะมีขนาดของพลอยด้านหงายหน้าเท่ากันก็ตาม นอกจากนี้ พลอยอาจจะวางตั้งไม่ได้ด้วยและอาจดูมืดเกินไป

คุณควรรู้ด้วยว่าพลอยที่มีประกายและสีที่ดีมักจะได้รับการเจียระไนให้ลึกกว่าเพชร และถ้าหากพลอยเจียตื้นเกินไปจะทำให้มีหน้าต่าง

น้ำหนักหรือขนาดพลอย (Carat Weight หรือ Stone Size)

น้ำหนักหรือขนาดของพลอย ถือว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการกำหนดราคาพลอย ในกรณีส่วนใหญ่แล้วยิ่งน้ำหนักกะรัตมีค่ามากขึ้น ราคาพลอยก็สูงมากขึ้นด้วย หรืออย่างที่เรารู้กันว่า การคิดราคาพลอยนั้นมักจะคิดกันตามราคาน้ำหนักกันอยู่แล้ว โดย 1 กะรัต มีค่าเท่ากับ 1/5 กรัม หรือ 0.20 กรัม พลอยที่โปร่งแสงไปจนถึงกึ่งทึบแสงจำนวนมาก เช่น หยก มาลาไคต์ และหินคาลซิโดนี มักจะขายเป็นชิ้นหรือมีราคาตามขนาดของหิน ไม่ได้ขายตามน้ำหนักกะรัต และพลอยที่มีน้ำหนักไม่เกินครึ่งกะรัตมักจะคิดราคาตามขนาดมิลลิเมตร

ความสว่าง (Brilliance หรือ Brightness)

ความสว่าง คือ ความเข้มและปริมาณของแสงที่มาจากพลอย ในพลอยต่างๆ เช่น โอปอล (Opal) แอมโมไลต์ (Ammolite) และอาเกตไฟ (Fire Agate) ถือว่าความสว่างเป็นปัจจัยที่สำคัญในการกำหนดราคาพลอย อย่างความสว่างของโอปอลจะมีเกณฑ์ความสว่างในระดับ 1-5 อีกด้วย โดย 5 เป็นระดับความสว่างที่สุด ซึ่งจะเห็นว่าพลอยก็ยังมีการแบ่งระดับเกรดความสว่างเช่นเดียวกับการแบ่งเกรดความสว่างในเพชรด้วย แม้ในพลอย ความสว่างไม่ได้เป็นส่วนที่สำคัญต่อการการเจียระไนเท่ากับเพชร แต่ก็ยังถือว่าเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญในการตีราคาพลอย

การปรับปรุงคุณภาพพลอย (Treatment Status)

หากคุณต้องการซื้อพลอยสักเม็ด เรื่องการปรับปรุงคุณภาพของพลอยก็เป็นประเด็นที่ควรพิจารณา มีข้อคำนึงอยู่ 3 ประการ ดังนี้

1. พลอยผ่านการเผา หรือ ไม่เผา? พลอยได้ผ่านกระบวนการอื่นๆ นอกเหนือจากการทำความสะอาด การเจียระไน หรือการขัดเงาเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นหรือไม่ พลอยส่วนใหญ่มักได้รับการปรับปรุงคุณภาพโดยมนุษย์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง พลอยที่ไม่ผ่านการเผามักจะมีมูลค่าสูงเพราะหายากและเป็นธรรมชาติ แต่โดยทั่วไปแล้วพลอยที่ไม่ผ่านการเผาจะไม่ค่อยสวยและมักจะมีมูลค่าน้อยกว่า และขายได้ยากกว่าพลอยที่เผาแล้ว เพราะพลอยที่เผาแล้วนั้นดูน่าดึงดูดและสวยงาม นี่จึงเป็นเหตุผลที่พลอยควรได้รับการเผานั้นเอง

2. พลอยผ่านการปรับปรุงคุณภาพด้วยวิธีใดมาบ้าง? การปรับปรุงคุณภาพพลอยนั้นมีหลายวิธี และไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่เท่ากันทั้งหมด วิธีการย้อมสีและการเติมโพรงพลอยเป็นวิธีที่ส่งผลเสียต่อมูลค่าของพลอยมากกว่าวิธีอื่นๆ การเผาซึ่งให้ความร้อนนั้นเป็นวิธีที่ยอมรับกันดี ดังนั้นคุณจึงควรรู้ว่าพลอยที่จะซื้อนั้นเคยผ่านการปรับปรุงคุณภาพแบบไหนมาก่อนเพื่อประเมินมูลค่าของมัน

3. ขอบเขตของการปรับปรุงคุณภาพพลอยคืออะไร? หากพลอยผ่านการปรับปรุงคุณภาพมาก่อน คุณควรทราบข้อชัดเจนของการปรับปรุงนั้นด้วย ยกตัวอย่างในการอุดรอยร้าวของมรกต ในทางปฏิบัตินั้นพบว่ามรกตส่วนใหญ่มักมีรอยร้าวเล็กๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะต้องเติมน้ำมัน ขี้ผึ้ง หรือสารประเภทอีพ็อกซี่เพื่อปกปิดรอยร้าวเหล่านี้ และบางครั้งก็เพิ่มความทนทานให้แก่พลอยด้วย มรกตที่คุณเห็นในการซื้อขายมักได้รับการปรับปรุงเรื่องความใส ซึ่งอาจไม่ได้มีการระบุไว้

โดยธรรมชาติแล้วพลอยที่ได้รับการเติมแต่งเล็กน้อยจะมีค่ามากกว่าพลอยที่มีปริมาณของเนื้อพลอยทั่วทั้งหินอยู่แล้ว ดังนั้นห้องปฏิบัติการตรวจสอบอัญมณีจึงจะระบุขอบเขตของกระบวนการเติมแต่งพลอย หรือการปรับปรุงพลอยลงไปไว้ในเอกสารด้วยว่าพลอยผ่านวิธีการต่างๆ มาในปริมาณเล็กน้อย ปานกลาง มีนัยสำคัญ หรือไม่มีเลย

แหล่งกำเนิดพลอย (Place of Origin)

แหล่งกำเนิดพลอย อาจหมายถึงประเทศ พื้นที่ หรือเหมืองที่ขุดพลอย ในกรณีส่วนใหญ่แหล่งที่มาของพลอยมักไม่สำคัญต่อการกำหนดราคา แต่คุณภาพต่างหากที่สำคัญ แต่มีพลอยบางประเภท เช่น ทับทิม ไพลิน มรกต และ ทัวร์มาลีนสีน้ำเงินอมเขียว แหล่งกำเนิดอาจส่งผลต่อราคาได้หากพลอยมีคุณภาพสูงและมาพร้อมกับหนังสือรับรองจากห้องปฏิบัติการที่ได้ระบุแหล่งที่มาของพลอยด้วย ตัวอย่างเช่น แซปไฟร์คุณภาพดีจากแคชเมียร์จะขายในราคาระดับพรีเมียมเพราะความหายากและสีที่โดดเด่น

ปริมาณทองแดง โครเมียม และวานาเดียม

ปริมาณทองแดง โครเมียม และวานาเดียม (Copper, chromium, and vanadium content) อาจส่งผลต่อราคาของทัวร์มาลีนสีน้ำเงินไปจนถึงสีเขียว หากรายงานจากห้องปฏิบัติการระบุว่าพลอยมีการแต่งสีด้วยทองแดงเป็นหลักก็สามารถขายได้หลายพันดอลลาร์ต่อกะรัต โดยขึ้นอยู่กับขนาดและคุณภาพ โดยทัวร์มาลีนเหล่านี้จะเรียกว่าทัวร์มาลีน Cuprian หรือทัวร์มาลีนที่มีทองแดง (copper-bearing tourmalines)

ทัวร์มาลีนที่มีสีโครเมียมหรือวานาเดียม ได้รับการตั้งชื่อว่า ทัวร์มาลีน chorme โดยสถาบันอัญมณีศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (GIA) และสมาพันธ์อัญมณีโลก (CIBJO) โดยทั่วไปจะมีราคาสูงกว่าทัวร์มาลีนสีเขียวอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด

แต่มีข้อยกเว้นประการหนึ่งคือทัวร์มาลีนสีเขียวขนาดกลางบางส่วนที่ขุดได้ในอัฟกานิสถาน ขนาดที่มากกว่า 5 กะรัต จะดูสว่างกว่าและมีความน่าดึงดูดใจมากกว่าทัวร์มาลีนแบบโครเมียม ดังนั้นในบางครั้งแล้วทัวร์มาลีนที่ไม่ใช่โครเมียมเหล่านี้อาจมีราคาที่เทียบเคียงหรือสูงกว่าได้ด้วย

ลักษณะเฉพาะ (Distinctness of Phenomena)

ลักษณะเฉพาะที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ  คือ ความโดดเด่นที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ (Distinctness) ของพลอยเอง ยกตัวอย่างเช่น

ตาแมว (Chatoyancy) : มีแถบแสงสะท้อนในหลังเบี้ย เกิดขึ้นเมื่อแสงจ้าตกกระทบกับรอยแยกคล้ายเข็มหรือท่อกลวงที่ขนานกันภายในพลอยเอฟเฟกต์ตาแมวอาจพบได้ในไครโซเบอริล (chrysobery) มรกต (emerald) อะความารีน (aquamarine) อะพาไทต์ (apatite) ควอตซ์ (quartz) และทัวร์มาลีน (tourmaline)

ภาพ จาก www.stonemania.co.uk

พลอยสตาร์ (Asterism): แถบแสงสะท้อนที่ตัดกันตรงกลางเป็นรูปดาวที่มีลำแสง 4, 6 หรือ 12 ดวง

ภาพ พลอยสตาร์ จาก http://www.nordskip.com/rose.html

Adularscence: เอฟเฟ็กต์แสงลอยเลื่อนที่เกิดจากความไม่สม่ำเสมอของโครงสร้างในหินมูนสโตน (moon stone) ซึ่งทำให้แสงกระจายในหิน และยังพบว่ามูนสโตนที่มีทรงโดมสูงบางชิ้นจะสร้างเอฟเฟกต์ตาแมว

ภาพ จาก johnjbradshaw.com

Aventurescens: เอฟเฟ็กต์แวววาว เกิดจากแสงที่สะท้อนจากการรวมตัวของแผ่นเปลือกโลกขนาดเล็ก ในซันสโตน (sunstone) การรวมตัวโดยทั่วไปคือเกล็ดของทองแดงหรือเฮมาไทต์ และในเวนทูรีน (venturine) ควอตซ์ (quartz) เกิดจากไมกาสีเขียวชนิดหนึ่ง

ภาพ จาก eragem.com

labradorescence : แสงวาบของสีในลาโบโรโดไรท์ (labradorite) หรือสเปกโทรไลต์ (spectrolite) ที่มองเห็นได้จากมุมมองที่แน่นอน เกิดจากการแทรกสอดของแสงผ่านโครงสร้างเป็นชั้นๆ ของลาบราดอไรต์

ภาพ จาก luxe.digital

ปรากฎการณ์การเปลี่ยนสี (Color Change): บางครั้งเรียกปรากฎการณ์นี้ว่าเอฟเฟ็กอเล็กซานไดรต์ (Alexandrite) การเปลี่ยนสีที่เกิดขึ้นเมื่อแหล่งกำเนิดแสงเปลี่ยนไป ตัวอย่างเช่น อเล็กซานไดรต์ (alexandrite)โกเมน (garnet) หรือแซปไฟร์ (sapphire) อาจปรากฏเป็นสีม่วงภายใต้แสงจากหลอดไส้ แต่เป็นสีเขียวในเวลากลางวันหรือเมื่อได้รับแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์

ภาพ จาก www.thepearlsource.com

โดยทั่วไป หากปรากฏการณ์ยิ่งคมชัดและชัดเจนมากขึ้น หินหรือพลอยก็ยิ่งมีค่ามากขึ้น อย่างไรก็ตาม อย่าคาดหวังว่ามันจะมีราคาสูงกว่าเสมอไป เพราะปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นของพลอยอาจะเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นมาหรือเป็นพลอยสังเคราะห์ซึ่งทำให้มีราคาต่ำกว่า ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นพลอยสตาร์ที่เห็นแฉกคมชัดกว่านั้นย่อมมีมูลค่ามากกว่า แต่ถ้าหากมันเป็นพลอยสังเคราะห์ก็จะมีมูลค่าน้อยกว่า แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วพลอยสตาร์ธรรมชาติจะไม่ได้สมบูรณ์แบบเท่ากับพลอยสตาร์ที่มนุษย์สร้างขึ้นก็ตาม